การบัญชีเกี่ยวกับตั๋วเงิน
การชำระหนี้ด้วยตั๋วเงิน
ประเทศไทยมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกี่ยวกับตั๋วเงินมาตรา 898 ถึงมาตรา 1011 ออกบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2472 สำหรับในภาคพื้นยุโรป การชำระหนี้ด้วยตั๋วเงินมีขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 จากความคิดริเริ่มของพ่อค้าชาวยิวเพื่อความสะดวกในการโอนหนี้ที่ต้องชำระจากท้องถิ่นหนึ่งไปยังอีกท้องถิ่นหนึ่ง เพื่อให้พ่อค้าไม่ต้องพกเงินสดเป็นจำนวนมากไปชำระค่าสินค้าแก่ผู้ขาย และรับเงินสดจำนวนมากจากการขายสินค้าจากผู้ซื้อ
วิธีการชำระหนี้ด้วยตั๋วเงิน
กรณีลูกหนี้ชำระหนี้ด้วยตั๋วสัญญาใช้เงิน ลูกหนี้จะเป็นผู้ออกตั๋วและเป็นผู้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะชำระเงินตามตั๋วเมื่อตั๋วครบกำหนด และจะระบุชื่อเจ้าหนี้เป็นผู้รับเงิน กรณีชำระหนี้ด้วยตั๋วแลกเงินเจ้าหนี้จะเป็นผู้ออกตั๋วและเป็นผู้สั่งจ่าย โดยสั่งผู้จ่ายซึ่งเป็นลูกหนี้จ่ายเงินให้แก่ผู้รับเงิน ตั๋วแลกเงินนี้กฎหมายกำหนดให้ต้องมี “การรับรองตั๋ว” โดยให้ผู้จ่ายลงลายมือชื่อในตั๋วแลกเงิน เพื่อเป็นการรับรองว่าผู้จ่ายจะใช้เงินให้เมื่อตั๋วถึงกำหนด ในปัจจุบันตั๋วแลกเงินที่มีธนาคารพาณิชย์เป็นผู้รับรองตั๋ว จะเป็นตราสารการเครดิตที่บุคคลโดยทั่วไปให้ความเชื่อถือ การรับรองของธนาคารกระทำโดยเขียนลงด้านหน้าตั๋วว่า “รับรองแล้ว” หรือข้อความอย่างอื่นในทำนองเดียวกัน และลงลายมือชื่อผู้มีอำนาจลงนามของธนาคาร เมื่อธนาคารพาณิชย์รับรองตั๋วแลกเงินแล้วย่อมผูกพันและต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ชั้นต้น
การบันทึกบัญชีทางด้านผู้จ่ายเงิน
วันที่ผู้จ่ายเงินออกตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือรับรองตั๋วแลกเงิน ผู้จ่ายเงินจะบันทึกบัญชีตั๋วเงินจ่ายทางด้านเครดิตตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในตั๋วเท่านั้น จะยังไม่มีการคิดดอกเบี้ยตั๋วเงิน แม้จะเป็นตั๋วเงินชนิดมีดอกเบี้ยก็ตาม เพราะในวันออกตั๋วหรือรับรองตั๋ว ดอกเบี้ยจ่ายยังไม่เกิดขึ้น
การออกตั๋วเงินจ่ายชำระหนี้ในกรณีดังต่อไปนี้
1. เมื่อซื้อสินค้า
1.1 เมื่อชำระหนี้ให้เจ้าหนี้
1.2 กรณีที่กิจการซื้อสินค้าและชำระหนี้ให้เจ้าหนี้เป็นตั๋วเงิน
1.3 กรณีเป็นผู้ประกอบกิจการที่ไม่ได้จดทะเบียนเข้าระบบภาษีมูลค่า
เพิ่ม 7% เมื่อซื้อสินค้า 50,000 บาท จากกิจการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% โดยถูกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และจ่ายชำระหนี้เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน จะบันทึกบัญชีโดยรวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ในบัญชี ทั้งนี้เพราะกิจการไม่มีสิทธิเดบิตภาษีซื้อ เนื่องจากไม่อาจขอคืนได้
1.4 กรณีเป็นผู้ประกอบกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ
7 เมื่อซื้อสินค้า 50,000 บาท จากกิจการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เมื่อถูกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และจ่ายชำระหนี้โดยรับรองตั๋วแลกเงินให้เจ้าหนี้
2. เมื่อซื้อสินทรัพย์
2.1 กรณีเป็นผู้ประกอบกิจการที่ไม่ได้จดทะเบียนเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในอัตรา 7% เมื่อซื้อเครื่องจักร 100,000 บาท และได้รับใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบจาก ผู้ขาย กิจการไม่สามารถนำภาษีซื้อที่เกิดขึ้นจากการซื้อสินทรัพย์มาบันทึกบัญชีเพื่อนำมาหักภาษีขายในเดือนนั้นๆ
2.2 กรณีเป็นผู้ประกอบกิจการที่จดทะเบียนเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มใน
อัตรา 7% ซื้อเครื่องจักร 100,000 บาท และได้รับใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบจากผู้ขาย กิจการสามารถนำภาษีซื้อที่เกิดขึ้นจากการซื้อสินทรัพย์มาบันทึกเพื่อนำมาหักภาษีขายในเดือนนั้น
2.3 กรณีถูกเก็บภาษีซื้อจากรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน
10 คน รวมทั้งภาษีซื้อสำหรับสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ดังกล่าวถูกยกเว้นไม่ให้นำมาเดบิตภาษีซื้อ
การบันทึกบัญชีเมื่อจ่ายเงินตามตั๋ว
ในวันครบกำหนดชำระหนี้ตามตั๋วเงิน ผู้รับเงินจะยื่นตั๋วเพื่อเรียกเก็บเงินจากผู้จ่ายเงิน ผู้จ่ายเงินจะต้องชำระเงินให้ครบถ้วนตามตั๋วเงิน ดังนี้
1) กรณีตั๋วเงินไม่มีดอกเบี้ย ผู้จ่ายเงินจะชำระเงินเท่ากับจำนวนเงินในตั๋วเงิน
2) กรณีตั๋วเงินมีดอกเบี้ยจะชำระเงินตามจำนวนเงินในตั๋วและดอกเบี้ยตั๋วเมื่อวันครบ
การบันทึกบัญชีทางด้านผู้รับเงิน
ตั๋วเงินรับ หมายถึง คำมั่นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรโดยปราศจากเงื่อน-ไขที่บุคคลนั้นรับจะชำระเงินจำนวนหนึ่งที่แน่นอนให้แก่อีกบุคคลหนึ่งภายในเวลาที่กำหนด
ตั๋วเงินรับมีลักษณะเหมือนบัญชีลูกหนี้ แต่เป็นลูกหนี้ที่มีหลักประกัน คือ มีลักษณะเป็นสัญญาผูกพันกำหนดทั้งจำนวนเงินและเวลาที่จะได้รับชำระเงิน
การบันทึกบัญชีเมื่อได้รับตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตั๋วแลกเงินที่ลูกหนี้รับรอง
เมื่อได้รับตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตั๋วแลกเงินที่ลูกหนี้รับรองแล้ว จะบันทึกบัญชีโดยเดบิตตั๋วเงินรับด้วยจำนวนเงินที่ระบุไว้ในตั๋ว ไม่มีการคำนวณดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นตั๋วมีดอกเบี้ยหรือไม่ก็ตาม กรณีตั๋วมีดอกเบี้ยจะบันทึกดอกเบี้ยในวันตั๋วครบกำหนดเท่านั้น
กิจการได้รับตั๋วเงินรับในกรณีต่างๆ ดังนี้
1. เมื่อขายสินค้า
1.1 หากกิจการขายสินค้าและได้รับชำระหนี้เป็นตั๋วแลกเงิน
1.2 กรณีเป็นผู้ประกอบกิจการที่ไม่ได้จดทะเบียนเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในอัตราร้อยละ 7 เมื่อขายสินค้าไม่มีสิทธิเก็บภาษีขายจากลูกค้าเหมือนกับตอนซื้อ ไม่มีสิทธิบันทึกเดบิตภาษีซื้อเพื่อขอคืนจากรัฐ
1.3 กรณีเป็นผู้ประกอบกิจการที่จดทะเบียนเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มใน
อัตราร้อยละ 7 เมื่อขายสินค้าต้องออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบและเก็บภาษีขายจากลูกค้าเพื่อนำส่งรัฐ ในวันสิ้นเดือนจะนำภาษีซื้อและภาษีขายมาหักกลบลบกัน ถ้าผลต่างเป็นภาษีซื้อจะขอคืนจากรัฐ ถ้าเป็นภาษีขายต้องนำส่งรัฐต่อไป
2. เมื่อขายสินทรัพย์
2.1 กรณีกิจการไม่ได้จดทะเบียนเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7
การขายสินทรัพย์จะไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง
2.2 กรณีกิจการจดทะเบียนเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 การ
ขายสินทรัพย์จะมีภาษีมูลค่าเพิ่ม
3. เมื่อรับชำระหนี้
การบันทึกบัญชีทางด้านผู้สั่งจ่าย
ในวันที่ผู้สั่งจ่ายได้รับตั๋วแลกเงินที่ออกให้ลูกหนี้รับรองแล้ว โดยตั๋วระบุชื่อเจ้า
หนี้ของตนเป็นผู้รับเงิน จะยังไม่บันทึกบัญชีต่อเมื่อนำตั๋วฉบับนั้นไปชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ในวันที่เจ้าหนี้ได้รับตั๋วแลกเงิน ผู้สั่งจ่ายจะบันทึกบัญชีเกี่ยวกับลูกหนี้และเจ้าหนี้ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับตั๋วเงินในวันครบกำหนด ถ้าผู้จ่ายเงินชำระเงินตามตั๋วให้ผู้รับเงินเรียบร้อย ผู้สั่งจ่ายไม่ต้องบันทึกบัญชี แต่ถ้าในวันครบกำหนด ผู้จ่ายเงินไม่สามารถชำระเงินให้แก่ผู้รับเงิน ตั๋วนั้นจะขาดความเชื่อถือ
การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับตั๋วแลกเงิน 3 ฝ่าย
การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับตั๋วแลกเงิน 3 ฝ่าย ซึ่งแต่ละฝ่ายจะบันทึกตามรายการ
ที่เกี่ยวข้อง คือ
1. ทางด้านผู้สั่งจ่าย จะบันทึกบัญชีในวันที่นำตั๋วแลกเงินที่รับรองแล้วไป
ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ โดยถือเป็นการรับชำระหนี้และจ่ายชำระหนี้ด้วยตั๋วเงิน ในวันครบกำหนด ผู้จ่ายเงินชำระเงินให้ผู้รับเงิน ผู้จ่ายไม่ต้องบันทึกบัญชี
2. ทางด้านผู้รับเงิน จะบันทึกบัญชีในวันที่ได้รับตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตั๋วแลก-
เงินที่ผู้จ่ายเงินรับรองแล้วในวันครบกำหนด บันทึกการรับชำระเงินตามตั๋ว
3. ทางด้านผู้จ่ายเงิน บันทึกบัญชีวันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินหรือรับรองตั๋ว
แลกเงินวันครบกำหนดบันทึกการจ่ายชำระเงินตามตั๋ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น